ชีวิตผม ดอกทองกวาว และ มช มหาวิทยาลัยที่รักของผม

ชีวิตผม ดอกทองกวาว และ มช มหาวิทยาลัยที่รักของผม 

6 ปี ใน มช เชียงใหม่ 

กลิ่นสดชื่น หลังฝนตกใหม่ๆ เสียงน้ำไหลผ่านลำธารที่ผ่านหอชาย 3 ไหลไปหลังสนามเทนนิส สีถนนหลังฝนตกก็จะเข้มขึ้น ตัดกับหญ้าเขียว ในเดือนมิถุนายน ดอกไม้ที่ขึ้นเหมือนไม่ตั้งใจทำให้ผมอดใจไม่ได้ต้องหยุดยืนดูสักพัก รองเท้าขาวของ Freshy ในหน้าฝนนั้นดูแลยากชะมัด 

พระธาตุดอยสุเทพเหลืองอร่าม สูงเหนือเมฆขาว ฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้มใส

ความจอแจยามเช้าที่สี่แยก หอหกเหลี่ยม 

ดอกทองกวาวที่ร่วงช้าๆ หน้าห้องสมุด

ทิวแถวน้องใหม่ในชุดมอฮ่อมเดินบ้าง วิ่งบ้างคดเคี้ยวขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ บ้างก็หยุดเพื่อร้องเพลงคณะ ในพิธีรับน้องใหม่ ชาว มช

วัน เดือน ปี หมุนเวียนผ่านไป 40 ปี แต่สำหรับผมภาพเก่าๆ ยังชัดเจน ไม่มีวันที่ผมจะลืมชีวิตที่เชียงใหม่ได้เลย ไม่อยากลืมด้วย

ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีก็ตาม

แม้กระทั่งทุกวันนี้บางคืน ผมยังฝันว่าผมกลับไปอยู่หอชาย 3 บ้าง หอชาย 4 บ้าง อยู่เลย

เป็นฝันที่ไม่อยากตื่น

ใน line group ชมรมคนรัก รพ พล เมื่อ 23 ธันวาคม 63 อยู่ดีๆพี่ไพฑูรย์ก็ post รูปดอกทองกวาวขึ้นมา ทำให้ผมคิดถึง”ครั้งแรก”ที่เห็นดอกทองกวาวจริงๆ ขึ้นมา

ผมรู้จักดอกทองกวาวครั้งแรกวันไปรายงานตัวที่ศาลาพระเกี้ยว จุฬา ทาง มช ยกทีมมา มีบอร์ดแนะนำ มหาวิทยาลัย ผมได้ยิน staff คุยกันเป็น คำเมือง ครั้งแรก ฟังแปลกหู
และก็ได้ สะดุดตา กับ ดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยแห่งนี้ 

และเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเพลง”ร่มแดนช้าง”เพลงประจำมหาวิทยาลัย จำได้ว่ารำคาญจะตาย เปิดดังแสบแก้วหู ซำ้ไปซ้ำมา เนื้อเพลงก็ดื้อๆ ขึ้นต้นด้วย”มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ของเรา งามพร้อมสมภูมิลำเนาที่พวกเราแสนภูมิใจ” ไม่เห็นเพราะเลย 

เดี๋ยวนี้เหรอ เข้าใจหมดแล้วทุกตัวอักษรของเนื้อเพลง ได้ยินเพลงนี้ หรือเพลงของ มช เพลงอื่นทีไร จมูกจะเริ่มร้อนๆ กระพริบตาถี่ๆ กลั้นน้ำตาไม่อยู่สักที

ที่ มช มีดอกทองกวาวดอกสีส้มสด เป็นต้นไม้ดั้งเดิมในป่าเชิงดอยสุเทพ ที่ตอนหลังยกให้เป็นที่ตั้งของ มหาวิทยาลัยแห่งแรกในส่วนภูมิภาค คือ มช 

สถานที่ตั้ง ของ มช นั้นอยู่ เชิงดอยพอดี หลังฝายหิน หลังคณะสังคม ก็คือพื้นที่ของดอยสุเทพแล้ว เหมือนเพลงที่ว่า

“อิงแอบซบแนบภูผา เหมือนชีวาเราซบร่วมกัน” 

ก็บอกแล้วไง ว่า มช ของผมน่ะ Romantic สัส สัส เอะอะอะไรก็ซบ เอะอะอะไรก็อิงแอบกันอยู่เรื่อย ไม่เป็นอันเรียนเลย

ต้นทองกวาวดอกสีส้ม เป็นต้นไม้ตามธรรมชาติ ใน มช มีเยอะแยะไปหมด หน้า หอชาย 1 หอหญิง 3 (หอหกเหลี่ยม) คณะมนุษย์ คณะวิทย์ และ ที่สำคัญสำหรับผมคนเดียวคือต้นที่หน้า หอสมุดกลาง

ดอกทองกวาว ใน มช จะบานเต็มต้น และทิ้งใบ เหลือแต่ ดอกสีส้มสดสวยงามมาก โดยเฉพาะตรงหน้าศาลาธรรมและ ศาลาอ่างแก้ว จะทิ้งดอกร่วงเกลื่อนสีส้มบนพื้นหญ้าเขียว 

และดอกทองกวาว จะปรากฏทุกหนทุกแห่ง บนสมุด lecture ที่แสนจะขายดีของคณะมนุษย์ บนปกเทปเพลงมหาวิทยาลัย บน postcards เมืองเชียงใหม่ 

เวลาที่ดอกทองกวาวร่วง ผมสังเกตว่ามันจะร่วงที่ละดอก และต่อมาที่ละช่อ และเพิ่มความเร็วขึ้น และจะมีเสียงดังเมื่อมันจูงกันร่วงตกลงสู่ใบแห้งที่สุมกันเต็มโคนต้น ที่สุดก็ร่วงหมดช่อ แทบจะกำหนดpatternได้ 

ที่หออ่างแก้วที่เป็นหอหญิงที่อยู่โดดเดี่ยวที่สุด ผมจะมีมุมโปรดทีจะต้องเหลือบมองทุกครั้งที่ผมขับมอเตอร์ไซด์ไปหน้ามอ ผมจะเถลไถลไปผ่านเส้นทางนี้เพื่อเหลือบมองต้นทองกวาวทีปะปนกับต้นสัก มุมสวยที่เห็นอ่างแก้วด้วย ผมชอบภาพสะท้อนสีส้มของดอกทองกวาวที่สะท้อนในนำ้ ที่มีดอยสุเทพสีเข้มหลังฝนตกในมุมที่สวยที่สุด ทอดยาวอยู่ด้านหลัง 

เหมือนในเพลงมหาวิทยาลัยไม่มีผิด

“สวยอ่างแก้วเพริศแพร้วเด่นพราว 
ดูดอกทองกวาว
ใบสักร่วงกราวสู่พสุธา..”

ไม่น่าสงสัยเลย ดอกทองกวาวปรากฏอยู่ในเนื้อเพลงเกือบจะทุกเพลงของสถาบัน ของ พวกเรา ชาว มช

“เมื่อทองกวาวดอกสีแดงเต็มต้น
ฝังจิตตรึงซึ้งกมลเรามั่น
ภาพงามตาทุกครามอง
เหมือนลานทองงามผ่องพรรณ 
รับสุรีย์แห่งสายัณต์
คล้ายสุวรรณนั้นดาษไป”

โดยเฉพาะ 24 มกรา ของทุกปี เป็นวันรับปริญญา ของ มช ที ในหลวง เสด็จพระราชทานปริญญาที่ ศาลาอ่างแก้ว จะเป็นช่วงที่อากาศดี ดอกไม้สวยที่สุด ดอกทองกวาวก็เช่นกัน 

“ร่มแดนช้าง ชูคบเพลิง เชียงใหม่มิได้ไกล พระบาท ไทย ราชา ร่มภูพิงค์นั้นดำรง ทุกคราทรงเสด็จมา
พระเมตตาแผ่พร้อมมาถึงพวกเราทุกเหล่าเอย “

และผมก็ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ที่สำคัญที่สุดในชีวิต ที่ศาลาอ่างแก้วแห่งนี้  ได้ใส่ครุยคณะแพทยศาสตร์ ครุยดำแถบสีเขียวเข้ม เคร่งขรึม สวยงาม ได้ถ่ายรูปในดงดอกไม้ที่แข่งกันงาม ที่ หน้า มอ ถ่ายกับเพื่อน กับคุณพ่อ คุณแม่ของเรา คุณพ่อ คุณแม่ ของเพื่อน

และผมก็ได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ที่สำคัญที่สุดในชีวิต ที่ศาลาอ่างแก้วแห่งนี้  ได้ใส่ครุยคณะแพทยศาสตร์ ครุยดำแถบสีเขียวเข้ม เคร่งขรึม สวยงาม ได้ถ่ายรูปในดงดอกไม้ที่แข่งกันงาม ที่ หน้า มอ ถ่ายกับเพื่อน กับคุณพ่อ คุณแม่ของเรา คุณพ่อ คุณแม่ ของเพื่อน

ผมเพิ่งนึกได้ตอนนี้เองว่า ผมไม่เคยถ่ายรูป รับปริญญา ทีต้นทองกวาว ไม่ใช่สิ “กับ”ต้นทองกวาว เพราะผมนับต้นทองกวาวที่ หน้าหอสมุด เป็นเหมือนเพื่อนยามยากของผม 

แม้ผมจะได้เข้าเฝ้าในหลวงอย่างใกล้ชิดที่ศาลาดุสิดาลัย วังสวนจิตรอีกครั้งในปี 2539 แต่ก็ไม่เหมือนครั้งที่ศาลาอ่างแก้ว 

แต่เพราะความรู้สึก”เย็นศิระ เพราะพระบริบาล” ของครั้งแรกมันมีความประทับใจกว่าเยอะ ยังจำได้ว่าผมในชุดครุยรุ่มร่ามนั่งฟังอาจารย์ประกาศชื่อเพื่อนที่ได้เกียรตินิยม 2-3 คน เสียงปรบมือจะดังมากเป็นพิเศษ จนสมเด็จพระเทพตื่น และ ก็มาถึง นางสาวกรรณิการ์ พันธุ์รัตน์…นายกฤษฎา มโหทาน…. สมเด็จพระเทพก็ยังตื่นอยู่ ถ่ายรูปจึงออกมาสวยงาม

คืนสุดท้าย ของช่วงงานรับปริญญา จะมีงานราตรีอ่างแก้ว และเป็นธรรมเนียมว่าเราจะได้ลีลาศกับวงดนตรีสุนทราภรณ์แท้ๆ ตัวเป็นๆ

ผมเฝ้าแอบดูงานนี้มา 6 ปีที่เรียนแพทย์ รุ่นพี่บางคนสวยจนผมจำไม่ได้ ผมเคยหมายมั่นปั่นมือว่าจะได้มาเต้นรำที่นี่ และซุ่มซ้อมหัดเต้นรำไว้แต่ปี 5 แล้ว แทงโก้ที่ว่ายากก็สามารถนำได้ โดยใช้เพลงลาแล้วภูพิงค์นี่แหละเป็นเพลงซ้อม จิ้นเอาว่าจะได้ไปลีลาศต่อหน้าวงดนตรี สุนทราภรณ์ เมื่อผมไปรับปริญญาใบแรก 

แต่น่าเสียดายปีนั้น เขาไม่จัดราตรีอ่างแก้ว และปีต่อๆไปจะมีอีกหรือเปล่า ผมไม่ได้ติดตามอีก 

“ทองกวาวเหมือนความฝัน
ร่วงพลันเตือนถึงวันคืนผ่าน
อยู่กันมานานร่วมมิตรสราญสราญสดใส”

เพลง ลาแล้วภูพิงค์ ผมรู้จักเพลงนี้และร้องได้ตั้งแต่ชั้นประถม สมัยนั้นดังมาก ผมไม่รู้ด้วยว่า เป็นเพลง สถาบัน มช นึกว่า มช ไปตู่เอามาเป็นของตัวเอง นอกจาก จะมี keywords เป็น ทองกวาว ดอยสุเทพ ภูพิงค์ ห้วยแก้ว ยังเป็นเพลงเดียวที่เอ่ยถึงสวนดอก แต่งให้คณะแพทยศาสตร์ เลยนะ อาจารย์วิชาญ วิทยาศัย เคยเล่าว่า พี่รุ่น 1 ไปขอให้แต่งให้ครูเอื้อแต่งให้ และก็ทันงานฉลองปริญญาพอดี 

เมื่อปลายฤดูหนาว และ เริ่มฤดูร้อนดอกทองกวาวมันจะเริ่มร่วง ตรงกับเวลาที่ทุกคณะ จะสอบ final เป็นสัญญาณว่าเริ่มดูหนังสือกันได้แล้วนะ 

หอชาย 7 หอใหม่เพิ่งสร้างเสร็จ อยู่ติดหอชาย 2 ได้สร้างวัฒนธรรมใหม่ให้กับ มอ คือ การกินมื้อดึก ยามดึกจะสว่างไสว และเป็นแหล่งของกินยามดึก อาเฮียที่บุกเบิกยกระดับมาตรฐานอาหาร 20 ชนิด จากหอชาย 3  แกมาเปิดขายMidnight ที่หอชาย7 จะมีก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น นำ้ใส น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ สังขยาอยู่ที่นั่น ผมไม่ต้องง้อให้ไอ้โมท roommate ที่รักของผม ทำมาม่าให้กินอีกแล้ว 

ทุกคนจะมาด้วยชุดนอน สำหรับคนอื่นเขาอาจจะหาของกินแล้วกลับไปดูหนังสือต่อ แต่ผมเป็นการสร้างนิสัยกินแล้วนอน 

เรียนแพทย์ สอบบ่อยมาก แทบ จะ ทุก 2 สัปดาห์ 

เมื่อตอนใกล้สอบfinal ผมมักจะไปฝังตัวอ่านหนังสือที่ห้องสมุดกลางที่เพิ่งเปิดใหม่ๆ 

โต๊ะในทำเลดีๆ มักถูกจองโดยชีทกองโต 

ผมมักจะเลือกนั่งโต๊ะริมหน้าต่าง มีแดดส่อง หลังฝนตกใหม่ๆ อากาศใส โปร่ง แดด10 โมง เช้า ส่องเห็นวัดพระธาตุดอยสุเทพสีทองเรืองรอง ตัดกับท้องฟ้าใสเป็น foreground 

ผมมองวิวเพลิน จนอ่านAnatomy ไม่รู้เรื่องเลย

ผมเจอ คุณ เสรี เพื่อนผม เดินโงนเงนอยู่ทั่วห้องสมุด 

ขอดู direction anatomy ของ คุณเสรี หน่อยว่า อะไรมันจะออกสอบบ้าง 

ปรากฎว่า high light แดง เหลือง เขียว เต็มหน้า ไปหมด 

เลยถาม คุณเสรี ว่านี
 Highlight ที่สำคัญเหรอ คุณเสรี บอกว่า ใช่

ใน เล่มนั้น ผมเห็นแต่  a and the และ  of  เท่านั้น ที่ไม่ได้ highlight 

เชี่ย 

เขาว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ผมเชื่อแล้ว 

ตลอดเวลา 40 ปี ผมกลับไปเชียงใหม่นับครั้งไม่ถ้วน และทุกครั้งผมจะไปแวะเยี่ยม มช ผมจะชอบไปห้องสมุดกลางที่อนุญาตให้ประชาชนเข้าได้ เพียงมีบัตรประจำตัวประชาชน

บางทีผมไปเดินงานบุ๊คแฟร์ที่จัดชั้นล่างหอสมุด ไปซื้อหนังสือที่ เราอยากซื้อ อยากเก็บไว้อ่าน แต่สมัยนั้นเราไม่มีเงินซื้อ พวกประวัติศาสตร์โรมัน กรีก หนังสือเกี่ยวสงครามโลก 

และไม่เคยลืมที จะไปหาต้นไม้2ต้นนี้เสมอ 

เขายังอยู่ที่เดิม สวยเหมือนเดิม ไปขอบคุณมัน ไปรำลึกถึงยามทุกข์ยามเครียด ที่ต้องสอบ ให้ผมใช้เป็นที่พักสายตา 

บางทีผมได้ไปเชียงใหม่ในหน้าปลายฤดูหนาว ได้เห็นมันร่วงในpattern เดิม ไม่ต่างกับสมัยผมเห็นมันเมื่อ ปี 2 เมื่อตอนผมอายุ 19 ปี ผมเก็บเอามันกลับมากรุงเทพ 

พอสีส้มเริ่มเปลี่ยน แม่บ้าน ทำความสะอาดจะเอาไปทิ้ง ผมก็ยังไม่ให้ทิ้ง ผมยังอยากให้ชิ้นส่วนเล็กๆนี่ อยู่กับผมให้นานที่สุด 

ชีวิตตอนนั้นมีทุกข์แค่นั้น กลัวสอบไม่ผ่าน กลัวได้ที่โหล่ ไม่เคยมีเรื่องอะไรอย่างอื่นเลย หารู้ไม่ว่าต่อมาเมื่อเป็นผู้ใหญ่จะเจอทุกข์สาหัสอีกนับครั้งไม่ถ้วน

ผมเลือกแพทย์เชียงใหม่เป็นอันดับ 3 และผมก็ดีใจที่ได้เรียนที่เชียงใหม่ และคงเสียดายถ้าผมทำคะแนนได้มากกว่านี้คงได้เรียนที่กรุงเทพ

ผมรักเพื่อนทุกคน รักทุกวินาทีที่อยู่ที่นั่น

แม้จะพอใจกับชีวิตในปัจจุบัน แต่เวลาผมอยู่คนเดียว ผมอยากเดินทางกลับไป กลับมาได้ 

ผมจะไม่ไปแก้อะไร เหมือนในนิยาย ผมชอบชีวิตของผม  ผมพอใจ ชีวิต ณ เวลานี้ แล้ว 

ผมแค่อยากไปรำลึกความสุขในวัยเด็ก ในวัยรุ่นตอนปลายที่กำลังจะเปลี่ยนผ่าน ในโลกใบใหม่ที่สดใส ในวัยที่ใช้ชีวิตอิสระ ในวัยที่มีเพื่อนที่ไม่เคยคิดว่าจะคบกันมาอีก40 ปี  ในวัยที่มีเรายังมีเรี่ยวแรง โลกมันสดใสสวยงาม  และ เป็นวัยที่เพิ่งเคยมีความรัก 

อยากชวนแหวว ปาริฉัตร ชวนตุ๊ก ชวนอนงค์ สาวๆ หอหญิง 7 และ ประภัสร์ มดแดง ไปกินข้าวหน้า มอ แล้วไถลมาอ่างแก้ว 

อยากไปชวน บิค และ เอ๋ อานนท์ ไปฝายหิน 

อยากไปเมาท์ กับ ทัตเทพ และ ศิริวัฒน์ ที่ห้อง และอาศัยระเบียงห้องเค้า แอบดู สาวๆ ที่ทะยอยเดินไปฝายหิน

อยากไปดู”ครูบ้านนอก”ที่ทิพย์เนตรกับ โหล กับ ขจร 

อยากวิ่งตามไอ้โบโซ่ roommate ของผมให้ทัน ยามที่มันชวนไปวิ่งตอนเช้าที่อ่างเกษตรหลัง มอ 

และ อยากไปเฝ้าดูดอกทองกวาวร่วง จากมุมดูหนังสือประจำของผมในห้องสมุด โดยไม่ต้องกังวลเรืองสอบ 

40 ปี ผ่านไป ผมเริ่มรับราชการมาตั้งแต่อายุ 24 ปี จนปัจจุบันเกษียณแล้ว ผมเคยมีทั้งความสุข และ เคยมีทั้งความทุกข์ 

ผมยังไม่เคยลืมภาพดอกทองกวาวทีกำลังร่วงหล่น จากต้นนั้นเลย 

ผมขอมอบบทความนี้เป็นของขวัญปีใหม่แด่เพื่อน 21 Med ทุกคน

ด้วยรัก จาก แตงโม
นายแพทย์ กฤษฎา มโหทาน 2107002